เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล

การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล (Data Communication) นั้น มีรากศัพท์มาจากคําสองคํา คือ ข้อมูล (Data) และการสื่อสาร (Commนnication)
ข้อมูล (Data) คือ สิ่งที่อยู่ในรูปที่สามารถจัดเก็บและเรียกใช้ได้ สําหรับทางด้านระบบคอมพิวเตอร์ นั้น ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของข้อมูลมีความสําคัญมาก เพราะข้อมูลที่ดีจะสามารถ สร้างรายได้และประโยชน์ให้กับผู้ใช้ เช่น ข้อมูลลูกค้า ลูกหนี้ ข้อมูลสูตรการผลิต ข้อมูลการตลาด หากข้อมูล เหล่านี้ผิดพลาด คาดเคลื่อน หรือคู่แข่งได้ไป ก็อาจจะทําให้เจ้าของข้อมูลเสียหายได้เป็นอย่างมาก
การสื่อสาร (Communication) คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยสิ่งที่ได้รับจะ ต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ส่งออกมา หรือจะพูดให้ง่ายขึ้น คือ เมื่อพูดสื่อสารกันแล้วจะต้องรู้เรื่องด้วยว่า กําลังพูดถึงอะไร สื่อสารในเรื่องใดอยู่ มิฉะนั้นก็จะถือว่าไม่บรรลุเป้าหมายของคําว่าการสื่อสารได้

ดังนั้น การสื่อสารข้อมูล (Data Communication) จึงหมายถึง กระบวนการถ่ายทอดหรือน้ํา ส่งข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งผ่านสื่อกลาง โดยไม่คํานึงถึงลักษณะทางกายภาพ ซึ่งข้อมูลอาจเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ หรืออะไรก็ได้ที่ต้องการถ่ายทอดไปยังปลายทาง และการสื่อสารข้อมูลที่ มักจะกล่าวถึงในทางคอมพิวเตอร์นั้นจะเกิดขึ้นจากการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพนั้นจะประกอบด้วย 3 สิ่ง ดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลจะต้องถึงปลายทางที่ถูกต้อง กล่าวคือ ข้อมูลจะต้องถูกส่งถึงมือผู้รับหรืออุปกรณ์ ปลายทางที่ระบุเอาไว้เท่านั้น
2. ข้อมูลจะต้องถูกต้อง ระบบจะต้องส่งข้อมูลที่มีสภาพเดียวกับต้นทางไปให้กับปลายทางเพื่อ ที่ผู้รับจะได้ทราบความประสงค์ของผู้ส่งได้ถูกต้อง
3. ข้อมูลต้องถึงในเวลาที่กําหนด เนื่องจากข้อมูลที่มาถึงช้าเกินไปก็ไม่สามารถนํามาใช้ ประโยชน์ได้ เช่น ถ้าเราโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตแต่ปรากฏว่าเสียงของข้อความแรก ไปถึงช้ากว่าข้อความ เที่สอง ทําให้ผู้ฟังปลายทางเข้าใจความหมายผิดไปได้
และเมื่อพูดถึงเรื่องของการสื่อสารข้อมูลก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะว่ามักจะมีผู้ที่หมายรวมว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกัน หากเรามาดูที่มาของรากศัพท์ของการสื่อสาร โทรคมนาคม (Telecommunication) นั้นมาจากคําว่า โทร (Tele) และการสื่อสาร (Communication) ซึ่งความหมายของคําว่าการสื่อสารได้กล่าวถึงในเบื้องต้นแล้ว ดังนั้น จะมาดูความหมายของคําว่า “โทร” กันก่อนที่จะดูความหมายของการสื่อสารโทรคมนาคม
โทร (Tele) คือ ระยะไกล เช่น โทรศัพท์ ก็คือ การพูดกันในระยะไกล โทรทัศน์ คือ การแสดงภาพ ในระยะไกลหรือโทรสาร คือ การส่งสารในระยะทางไกล ๆ
ดังนั้น การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication) จึงหมายถึง การสื่อสารใน ระยะไกล กล่าวคือ ผู้ส่งและผู้รับจะต้องอยู่ในระยะที่ห่างไกลกันมากจนไม่สามารถสื่อสารกันได้ Telecommนnication ก็จะเป็นตัวกลางที่ช่วยให้สามารถสื่อสารกันได้
เมื่อผู้อ่านทราบความหมายของคําว่า การสื่อสารข้อมูลและการสื่อสารโทรคมนาคมแล้วจะเห็นได้ ว่าการสื่อสารโทรคมนาคมนั้นเน้นการสื่อสารในระยะทางไกล ๆ แต่การสื่อสารข้อมูลนั้นไม่สนใจว่าจะเป็น ระยะไกลหรือใกล้ แต่จะเน้นว่าข้อมูลที่ส่งออกไปนั้นจะต้องส่งถึงปลายทางอย่างถูกต้อง ดังนั้น หากจะมอง ให้ดีก็จะพบว่า การสื่อสารโทรคมนาคมเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการสื่อสารข้อมูลนั่นเอง ดังนั้น การที่จะ มีการใช้สองคํานี้กับสิ่งเดียวกันอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ต้องดูด้วยว่าสิ่งนั้นเมื่อพิจารณาการใช้งานเทียบกับ นิยามแล้วเข้าข่ายใด ซึ่งอาจจะใช้ได้ทั้งสองคําก็ได้ เช่น ระบบโทรศัพท์นั้นเป็นระบบการสื่อสารคมนาคม ที่มักจะถูกกล่าวถึงในระบบการสื่อสารข้อมูลอยู่เสมอ ๆ
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หรือจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า ระบบเครือข่าย (Network) ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องที่สามารถติดต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ได้ การติดต่อจะผ่านทางช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายไฟฟ้าหรือผ่านทางสื่อแบบอื่น ๆ ได้แก่ โมเด็ม (Modem) ไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณอินฟราเรด (Infrared) เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว จะหมายถึง การที่นําเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 2 เครื่อง มาเชื่อมต่อกัน วัตถุประสงค์ที่ต้องต่อกันนี้มัก เกิดจากความต้องการที่จะใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน เช่น ใช้เนื้อที่เก็บข้อมูลในดิสก์ร่วมกัน ใช้งาน เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่มีอยู่เครื่องเดียวร่วมกัน ต้องการส่งข้อมูลให้กับบุคคลอื่นในระบบไปใช้งาน หรือ ต้องการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เป็นต้น
ฉะนั้น ระบบเครือข่าย (Network) คือ ระบบที่นําเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC หรือ Personal Computer) แต่ละเครื่องมาต่อเชื่อมกันด้วยกลวิธีทางระบบคอมพิวเตอร์นั่นเอง
องค์ประกอบหลักที่สําคัญของการสื่อสารข้อมูล
ในระบบเครือข่าย
  ส่วนประกอบของการสื่อสารจะประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก คือ
1. ผู้ส่ง (Sender) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น คน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น
2. ผู้รับ (Receiver) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น คน คอมพิวเตอร์ โทรศัพ โทรทัศน์ เป็นต้น
3. ข้อมูล (Message) คือ ข้อมูลหรือข่าวสารที่ต้องการส่ง ซึ่งอาจจะเป็นตัวหนังสือ ตัวเลข เสียง หรือวิดีโอ (ทั้งรูปและเสียง) หรือสิ่งใดก็ตามที่ต้องการส่งหรือรับ
4. สื่อกลาง (Medium) คือ สื่อกลางทางกายภาพที่ใช้ในการนําข้อมูลจากต้นทางไปสู่ปลายทาง ซึ่งอาจจะเป็นสื่อแบบสาย เช่น สายคู่ที่เกลียว สายโคแอกเชี่ยล สายไฟเบอร์ออพติก หรือสือแบบไม่มีสาย เช่น คลื่นวิทยุ เลเซอร์ เป็นต้น
5. โพรโตคอล (Protocol) เปรียบเทียบได้กับเป็นภาษา ข้อบังคับ กฎเกณฑ์ ที่ใช้ในการกําหนด วิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างทั้งสองฝั่ง ซึ่งจะกําหนดว่าอุปกรณ์ที่ใช้รับและส่งนั้นจะแปลงข้อมูลอยู่ในรูปแบบใดก่อนที่จะส่งหรือรับ และจะต้องอยู่ในรูปแบบเดียวกันทั้งสองฝั่งด้วย มิฉะนั้นก็จะสื่อสารได้ไม่ สําเร็จถ้าหากปราศจากซึ่งโพรโตคอล อุปกรณ์ทั้งสองฝั่งอาจจะติดต่อกันได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ เหมือนกับที่ฝั่งหนึ่งพูดภาษาไทยในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งพูดภาษาอังกฤษก็จะไม่สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง

ประเภทของระบบเครือข่าย
เมื่อกล่าวถึงเรื่องประเภทของระบบเครือข่าย สิ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือเรื่องของขนาดของระบบ
AN, MAN, WAN, Internetworks
1. ระบบเครือข่ายระยะใกล้ (LAN : Local Area Network) เป็นระบบเครือข่ายที่ทําการ ติดตั้งระทําการเดินสายสัญญาณครอบคลุมภายในพื้นที่ที่จํากัด เช่น ภายในอาคารสํานักงาน ภายใน มิทยาลัย ภายในโรงงาน หรือแต่ละอาคารที่อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน โดยระยะทางของการเดินสาย
เกิน 2 กิโลเมตร ระบบ LAN เหมาะสําหรับการเชื่อมต่อไมโครคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง เข้าด้วยกัน แต่ไม่ควรเกิน 100 เครื่อง โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การใช้อุปกรณ์ส่วนกลางร่วมกัน การใช้ รแกรมและข้อมูลร่วมกัน และการรับส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ระบบเครือข่ายระยะใกล้
2. ระบบเครือข่ายระยะปานกลาง (MAN : Metropolitan Area Network) เป็นการ เชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN เช่น การเชื่อมต่อระบบระหว่างองค์กรใน อําเภอหรือจังหวัด ข้อมูลสามารถถูกส่งผ่านระหว่างเครือข่ายได้ โดยการเชื่อมต่อผ่านระบบโทรศัพท์สาย โคแอกเชียลหรือระบบสื่อสารแบบไร้สาย และสามารถใช้อุปกรณ์ส่วนกลางร่วมกันได้ เช่น การใช้ โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน หรือการรับส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันเช่นเดียวกับระบบ LAN
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
3. ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN : Wide Area Network) เครือข่าย WAN เป็นเครือข่าย เชื่อมโยงกันในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็นหลาย ๆ กิโลเมตร เช่น เครือข่ายในระดับประเทศ ทวีป หรือเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างมหานครต่าง ๆ แต่เนื่องจากระยะทางที่ไกลอาจทําให้ความเร็วในการ สื่อสารระหว่างกันอาจไม่สูงมากนัก และทําให้มีสัญญาณรบกวนได้สูง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN
4. ระบบอินเทอร์เน็ตเวิร์ค (Internetworks) หรืออาจจะเรียกได้ว่า ระบบอินเทอร์เน็ต ประกnes เชื่อกันว่าระบบอินเทอร์เน็ต คือ ระบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะว่ามีผู้ใช้จากทั่วโลก เริ่มต่อเข้าไปใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกวัน และมีเซิร์ฟเวอร์เกิดใหม่ทุกชั่วโมง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ระบบอินเตอร์เน็ต เวิร์ค



ข้อเปรียบเทียบของระบบเครือข่ายแต่ละแบบ
ระบบเครือข่าย (Network) แต่ละแบบไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area 1-work หรือ WAN) หรือระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (Local Area Network หรือ LAN) หรือระบบ
ระยารระดับเมือง (Metropolitan Area Network หรือ MAN) มีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ ซึ่งพอที่จะสามารถสรุปได้ ดังนี้
1. ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) มีระยะทางระหว่างจุดที่ต่อกันจํากัด ขนาดสูงสุดปกติไม่ เกิน 10 กิโลเมตร และต่ําสุดไม่น้อยกว่า 1 เมตร
2 โดยปกติทั่วไปแล้วระบบเครือข่ายระดับเมือง (MAN) จะทํางานด้วยความเร็วน้อยกว่า 1 เมกะบิต ต่อวินาที (Mbps) แต่การทํางานโดยปกติของระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจะมีความเร็วระหว่าง 1-10 เมกะบิต ต่อวินาที (Mbps) แต่ถ้าใช้เทคโนโลยีแบบเส้นใยนําแสง (Fiber Optic) ในการเชื่อมต่อจุดแต่ละจุดแล้วจะ ทําให้ส่งข้อมูลด้วยความเร็วหลายร้อยเมกะบิตต่อวินาที (Mbps)
3. เนื่องจากระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) มีระยะทางการใช้งานไม่กว้างนัก ทําให้มีอัตรา ของความผิดพลาดหรือข้อผิดพลาดต่าง ๆ น้อยกว่าระบบเครือข่ายระดับเมือง (MAN)



4. ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) จะอยู่ภายใต้การควบคุมของคนหรือองค์กรเดียว แต่ระบบ เครือข่ายระดับประเทศ (WAN) จะมีขอบข่ายการใช้งานอยู่ทั่วโลก ดังนั้น การใช้งานจะขึ้นอยู่กับองค์กร การสื่อสารของแต่ละประเทศด้วย
โดยสรุปแล้ว ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) เป็นรูปแบบการทํางานของระบบเครือข่ายแบบ หนึ่งที่ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถติดต่อและใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งจะต่างกับระบบเครือข่ายแบบอื่น ๆ ตรงที่จํากัดการติดต่อสื่อสารของอุปกรณ์อยู่ในบริเวณแคบ ๆ เท่านั้น โดยทั่วไปจะมีระยะการใช้งานไม่เกิน 2 กิโลเมตร เช่น ใช้ภายในมหาวิทยาลัย อาคารสํานักงาน คลังสินค้า หรือโรงงาน เป็นต้น การส่งข้อมูลสามารถทําได้ด้วยความเร็วสูงถึง 1-10 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) และมี ข้อผิดพลาดน้อย
ประโยชน์ของระบบเครือข่าย
ประโยชน์ของการนําเครื่องคอมพิวเตอร์มาต่อเชื่อมกันนั้นมีหลายประการ ได้แก่
1. สามารถใช้ทรัพยากร (Resource) ที่มีราคาสูงร่วมกันได้ เช่น Harddisk, Printer เป็นต้น ทําให้ประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้าน Hardware ลงไปได้มาก
2. สามารถนําระบบเครือข่าย (Network) ไปเชื่อมต่อหรือเป็นประตูทางผ่าน (Gateway) เพื่อเข้า สู่คอมพิวเตอร์ระบบอื่น ๆ ได้ เช่น Minicomputer, Mainframe เป็นต้น
3. ประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้าน Software เนื่องจากสามารถติดตั้ง Software ที่เป็นแบบเครือข่าย (Network) โดยราคาที่ติดตั้งแบบเครือข่าย (Network) นั้นจะถูกกว่าการซื้อ Software มาติดตั้งที่ Harddisk ของเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) แต่ละเครื่อง รวมทั้งเป็นการง่ายต่อการบํารุงรักษา (Maintenance) เช่น การ Update Software ที่ทุก ๆ เครื่องทําให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก
4. User สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เนื่องจากข้อมูลของ User จะเก็บอยู่ใน Harddisk ตัว เดียวกันหมด นอกจากนั้น User สามารถนั่งทํางานที่คอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ ซึ่งก็จะสามารถที่จะ เรียกใช้ข้อมูลของตนเองได้เสมอ
5. สามารถใช้งานโปรแกรมประเภท Multiuser ได้ Multiuser คือ โปรแกรมที่ใช้งานได้หลายๆ คนพร้อม ๆ กัน
ประโยชน์ของที่กล่าวข้างต้นเป็นแบบคร่าว ๆ แต่ถ้าจะแบ่งเป็นประเภทหรือเป็นหมวดหมู่ให้เห็น และเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้ว ประโยชน์ของระบบเครือข่ายที่มีต่อผู้ใช้สามารถที่จะแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ ดังนี้
-การใช้ Hardware ร่วมกัน
-การใช้ Software ร่วมกัน
-การเชื่อมต่อกับระบบอื่น
- การใช้ระบบ Multiusers



1. การใช้ Hardware ร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ระบบเครือข่าย (Network) จะ ช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่อง Hardware ลงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากจะสามารถนํา Hardware บางประเภทมาใช้งานร่วมกันได้ ได้แก่
Share Diskspace เป็นการใช้งานร่วมกันของเนื้อที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งรวม Harddisk และ CD ROMS (Compac-Disk Read-Only Memory) ซึ่งจะใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จากเครื่อง คอมพิวเตอร์ (PC) ที่เรียกว่า File Server โดย File Server นี้จะเป็นเครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้งควบคุมการทํางานของระบบ Network ด้วย
Share Printer เครื่องพิมพ์เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วง (Peripherals) ที่ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะใน ปัจจุบันมี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่องพิมพ์สี (Color Printer)
ซึ่งมีราคาแพงและจําเป็นต้องนํามาใช้งานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ กรณีที่เรานํา - เครื่องพิมพ์มาใช้งานในระบบ Network มากกว่า 1 เครื่อง เช่น Dot Matrix, Laser Printer, Color Printer,
Ink Jet เป็นต้น ในการส่งงานไปพิมพ์นั้น และสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้งานเครื่องพิมพ์ชนิดใดได้ด้วย ซึ่งทําให้การทํางานง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Share Communication Devices เป็นการนําอุปกรณ์สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งาน ร่วมกัน เช่น Modem ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน โดยอาศัยสายโทรศัพท์ นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถนํามาใช้งานร่วมกันได้คือ FAX โดยสามารถที่จะทํา การพิมพ์ข้อมูลที่ Workstation ส่วนตัว และส่งผ่านข้อมูลผ่านระบบ Network ไปที่เครื่อง FAX ได้ทันที โดยไม่จําเป็นต้องพิมพ์ลงกระดาษ แล้วเดินไปส่ง FAX ที่เครื่อง FAX อื่น ๆ อีกต่อไป



2. การใช้ Software ร่วมกัน Software ที่ใช้งานบนระบบ Network แบ่งออกเป็น Software Packages และ Data เมื่อใช้ระบบ Network สามารถจะนํา Software ทั้ง 2 ชนิด มาใช้งานร่วมกันได้
Share Software Packages ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ทาง Software ถ้ามี เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) แต่ละเครื่องใช้งานแยกกันอยู่ ก็จําเป็นที่จะต้องซื้อ Software ที่มีลิขสิทธิ์ ถูกต้องตามกฎหมายมาใช้งาน นั่นคือ 1 ชุดต่อ 1 เครื่อง รวมทั้งยังต้องคอยระวังในเรื่องของการ Copy Software มาใช้งานเองของ User แต่ละคนด้วย การนําระบบ Network มาใช้งานจะช่วยลดปัญหาของ การทําผิดกฎหมายทางด้านลิขสิทธิ์ได้
นอกจากนั้น Software ที่ใช้งานบนระบบ Network จะมีความคล่องตัวกว่า Software บนเครื่อง คอมพิวเตอร์ (PC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการ Maintain หรือการซ่อมบํารุง ปรับปรุง Software ให้ถูกต้อง เช่น มีรุ่นที่ Upgrade มาใหม่ จะสามารถติดตั้งและ Upgrade Software ทั้ง 10 เครื่อง ซึ่ง เสียเวลามาก
นอกจากนั้นกรณีที่ใช้ Workstation ประเภท Diskless Workstation User จะไม่มีสิทธิ์ในการ ใช้งานแผ่น Disk เลย ทําให้สามารถขจัดปัญหาของ Virus ที่สามารถจะแพร่ระบาดอยู่ได้ รวมทั้งการ ตรวจสอบ Virus ก็ไม่จําเป็นต้องตรวจสอบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) แต่ละเครื่อง แต่ตรวจสอบที่ File Server เพียงเครื่องเดียว ทําให้ประหยัดเวลา และเกิดการทํางานที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
สําหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนํามาใช้งานบนระบบ Network จะต้องเป็น Software รุ่น Network เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมี License Software สําหรับระบบ Network อยู่ 2 แบบ คือ
• Concurrent Use License หมายถึง Software ที่ระบุจํานวน User ที่สามารถใช้งานได้ สูงสุดบนระบบ Network เช่น แบบ 20 Copy นั่นหมายถึง User สามารถใช้งาน Software ตัวนี้สามารถ ใช้งานได้พร้อมกัน 20 คน
• Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจํานวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้ เท่าใด แต่ในการทํางานจริง ๆ แล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้
Share Data ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน สําหรับการใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) แยกกันก็คือ ใน กรณีที่เราต้องการข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) เครื่องหนึ่ง จะต้อง Copy ลงในแผ่น Disk แล้วนําไป เรียกใช้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) อีกเครื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้อมูลนั้นมีขนาดใหญ่หรือ ต้องการใช้งานข้อมูลร่วมกันบ่อย ๆ จะทําให้เสียเวลาในการ Copy ข้อมูลมาก ถ้านําระบบ Network มาใช้ งานข้อมูลของ User แต่ละคนจะถูกเก็บไว้ในที่เดียวกัน คือ Harddisk ของ File Server ดังนั้น User แต่ละ คนจะสามารถเรียกใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกําหนดสิทธิในการเรียกใช้ข้อมูล ของแต่ละ User ซึ่งจะสามารถกําหนดได้ว่า User คนใดจะสามารถใช้งานข้อมูลใดได้ถึงระดับใดบ้าง
จากประโยชน์ของการใช้ Software ร่วมกันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ที่ File Server ข้อมูลจึงถูกต้อง ทันสมัยและรวดเร็ว เป็นการควบคุมข้อมูลที่จุดศูนย์กลาง โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ข้อมูลของ Workstation อื่นได้ทันทีถ้ามีสิทธิ์ โดยไม่ต้องรีรอจึงทําให้การทํางานสะดวกขึ้น (Flexible) นอกจากนั้น ยังลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานและลดเวลาในการทํางาน คือ แทนที่จะต้องเสียเวลาในการรอข้อมูลซึ่งกัน และกัน เพื่อที่จะทํางานขั้นต่อไป ก็ทําให้ไม่ต้องเสียเวลาและลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลไม่ถูกต้อง ทันสมัย



3. การเชื่อมต่อกับระบบอื่น ในระบบงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) เมื่อต้องการนําเครื่อง คอมพิวเตอร์ (PC) มาเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น Mainframe หรือ Mini Computer จะต้องมีอุปกรณ์ เชื่อมต่อพิเศษ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) นั้นสามารถทํางานร่วมกับระบบอื่นได้ จะเรียกขบวนการนี้ว่า Terminal Enาulation ปัญหาก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) หนึ่งเครื่องจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษต่อเชื่อม 1 ชุด ซึ่งปกติจะมีราคาสูงมาก เมื่อมีการทํางานที่มากขึ้น การต่อเชื่อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) เพียง 1 ชุด อาจไม่เพียงพอในการใช้งาน อาจจําเป็นต้องต่อมากยิ่งขึ้น ทําให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย
แต่ถ้ามีระบบ Network อยู่แล้ว สามารถที่จะนําเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) และอุปกรณ์ต่อเชื่อม สําหรับระบบอื่นเพียง 1 ชุดมาใช้งาน หลังจากนั้น Workstation เครื่องอื่นที่ไม่มีอุปกรณ์ต่อเชื่อมนี้ สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ด้วย เสมือนมีอุปกรณ์เชื่อมต่อติดตั้งที่เครื่องของตนเอง ลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า Gateway
4. การใช้ระบบ Multiusers การใช้ระบบ Multiusers หมายถึง ระบบที่ User สามารถใช้ โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกันได้ครั้งละหลาย ๆ คน ซึ่ง Network นั้นสามารถใช้งานระบบนี้ได้เป็นอย่างดี


ทําให้ในปัจจุบันผู้ใช้งานในระบบ Mainframe หรือ Mini Computers ได้หันมาเล็งเห็นถึงความสําคัญ ของระบบ Network และเริ่มใช้งานระบบนี้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนของการทํางานในระบบ Multiusers ได้แก่
E-Mail (Electronic Mail) ซึ่ง User แต่ละคนสามารถส่งและรับข้อมูลหรือข่าวสารซึ่งกันและกัน ได้ โดยผ่านทาง Workstation ของตนเอง มีโปรแกรมที่ใช้งานแบบ E-Mail ได้มากมาย เช่น Word Perfect Office, CC-Mail, Microsoft Exchange, Microsoft Outlook เป็นต้น
Schedule หรือ Group Calendar เป็นโปรแกรมที่รวบรวมปฏิทินรายวันของ User แต่ละคนมา รวมกันเป็นตาราง (Schedule) ของทั้งระบบ ทําให้ผู้จัดการระบบสามารถทราบนัดหมายต่างๆ ของ User แต่ละคนได้ และวางแผนการทํางานได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น Word Perfect Office Database สามารถใช้ ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้พร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน File Server ได้ถูกพัฒนาให้ดี ยิ่งขึ้น จนมี File Server เฉพาะสําหรับงาน Database เรียกว่า Database Server ซึ่งเป็น Server ชนิด พิเศษที่มีความเร็วสูงในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูลใน Database จึงมีผู้กล่าวว่าประสิทธิภาพในการ ทํางานของ Database Server นี้ใกล้เคียงหรืออาจจะดีกว่าแบบ Mini Computer เสียอีก
ดังนั้น การจะนําระบบ Network มาใช้งานในองค์กรนั้น จึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและ ความเป็นไปได้ด้วย ถึงแม้จะประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของ Hardware เนื่องจากสามารถนําอุปกรณ์ บางอย่างมาใช้ร่วมกันได้ก็จริงอยู่ แต่การลงทุนในตอนเริ่มต้นก็สูงเช่นกัน เนื่องจากเราต้องซื้อ Server ที่มี ประสิทธิภาพสูง รวมทั้งอุปกรณ์การติดตั้งอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้น ผู้ที่จะตัดสินใจนําระบบ Network มาใช้งานจึงควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน ทั้งนี้อาจอาศัยรายละเอียดต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น รวมทั้งนโยบายของ องค์กรและงบประมาณการเงินอีกด้วย
องค์ประกอบของระบบเครือข่าย
องค์ประกอบของระบบเครือข่ายมีทั้งส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) โทโพโลยี (Topology) โพรโตคอล (Protocol) และองค์ประกอบอื่น ๆ ดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) มีองค์ประกอบ 4 ข้อ คือ
1.1 ระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย มี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ แบบที่ทุกเครื่องมีความ เท่าเทียมกัน เรียกว่า Peer-to Peer (Personal Netware หรือ Windows for Workgroup) หมายถึง แต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบเข้ามาใช้ข้อมูลหรืออุปกรณ์ของตนได้โดยเสมอภาคกัน อีกแบบ เรียกว่า เครื่องให้บริการ (Server-Based) คือ เครื่องที่ทําหน้าที่เป็นผู้ให้บริการ (Server) แก่เครื่องอื่น หลักการของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 แบบ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ระบบ Peer-to-Peer จะมีความยืดหยุ่น มากในแง่ของการใช้ข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน คือ เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในเครือข่ายจะ ใช้ข้อมูลของเครื่องอื่น ๆ ได้หมด ในขณะที่ระบบกําหนดให้เครื่องหนึ่งเป็นผู้ให้บริการโดยเฉพาะนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบจะมีหน้าที่ทํางานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มีเครื่องหนึ่งเป็น “เซิร์ฟเวอร์” (Server) ส่วนเครื่องอื่น ๆ ที่นํามาเชื่อมต่อกันเป็น “เวิร์กสเตชัน” (Workstation)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Peer-to Peer


เซิร์ฟเวอร์ทําหน้าที่ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในระบบเครือข่าย ทั้งระบบควบคุมการสื่อสารข้อมูล ควบคุมการใช้งานทรัพยากรต่าง ๆ ของระบบเครือข่าย และเป็นศูนย์กลาง การประมวลผล ดังนั้น เซิร์ฟเวอร์มักจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ การทํางานสูงสุดในระบบ เครือข่ายนั้น มีหน้าที่ให้บริการจัดเก็บข้อมูล เรียกว่า ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File Server) และควบคุมเครื่องพิมพ์ซึ่ง เรียกว่า พริ้นเซิร์ฟเวอร์ (Print Server) และให้บริการควบคุมอุปกรณ์สื่อสาร เรียกว่า คอมมิวนิเคเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ (Commนnicator Server) ส่วนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในระบบเครือข่ายที่ผู้ใช้สามารถเข้าไป ใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้ เรียกว่า เวิร์กสเตชัน เครื่องที่เป็นเวิร์กสเตชันอาจใช้ ระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น DOS, OS/2, Macintoshes, Windows เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดสามารถเข้าไปใช้ ไฟล์และเครื่องพิมพ์ของเซิร์ฟเวอร์ได้
1.2 บริดจ์ (Bridge) อุปกรณ์ Bridge เป็นสิ่งที่ใช้แก้ปัญหาในเรื่องสัญญาณที่วิ่งอยู่ในเครือข่าย มากเกินไปได้ โดยจะจัดแบ่งเครือข่ายออกเป็นเครือข่ายย่อยหรือ Network Segment และจะทําการ กลั่นกรองสัญญาณเท่าที่จําเป็นเพื่อส่งให้กับเครือข่ายย่อยที่ถูกต้องได้ ทําให้สัญญาณไม่มารบกวนกันหรือมี สัญญาณที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในเครือข่ายย่อยโดยไม่จําเป็น แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีความจําเป็นต้องการสื่อสาร กันข้ามเครือข่ายเป็นจํานวนมากแล้ว อุปกรณ์ Bridge ก็อาจจะกลายเป็นเสมือนคอขวดที่ทําให้เครือข่ายมี การทํางานช้าลงได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บริดจ์
การทํางานของ Bridge หลักการทํางานของ Bridge จะดูแลข้อมูลที่ส่งโดยพิจารณาจาก หมายเลขของเครื่อง หรือตามศัพท์ทางเครือข่าย คือ Media Access Control Address (MAC Address หรือ Station Address) Bridge จะทํางานใน Data Link Layer หรือ Layer ที่ 2 ของ OSI โมเดล คือ มอง ข้อมูลที่รับส่งกันเป็น Packet แล้วเท่านั้น โดยไม่สนใจโพรโตคอลสื่อสารที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็น IP หรือ IPX หรือ โพรโตคอลใด ๆ หรือก็คือ ไม่ว่าจะเป็นPackket อะไรส่งออกมาในเครือข่าย Bridge จะดูเฉพาะ Address ปลายทางแล้วถ้าพบว่าเป็นเครื่องที่อยู่คนละฟากกันก็จะส่งต่อให้เท่านั้น ไม่สนใจว่าการส่งให้ถึงเครื่องที่เป็นผู้รับปลายทางนั้นอาจทำได้หลายเส้นทางต่างๆกัน
       ข้อจํากัดอีกประการหนึ่งของ Bridge คือ ในขณะที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งต้องการส่งข้อมูลไป ยังอีกเครื่องหนึ่ง แต่ไม่ทราบ Station Address จะมีการส่งข้อมูลพิเศษที่เรียกว่า Broadcast Frame เข้า ไปในเครือข่าย เมื่อข้อมูลนั้นผ่านมาที่ Bridge ก็จะมีการส่งข้อมูล Broadcast นี้ต่อไปยังทุกเครือข่ายย่อย ทั้งหมดที่ต่ออยู่ โดยไม่มีการเลือกหรือกลั่นกรองใด ๆ ทําให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั้งหมดถูก ขัดจังหวะเพื่อรับข้อมูลดังกล่าว ดังนั้น ถ้ามีข้อมูลที่ Broadcast มาก ก็จะทําให้เครือข่ายมีปัญหาเรื่อง ปริมาณข้อมูลหนาแน่น และความเร็วในการทํางานลดลงได้
1.3 เราท์เตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า Bridge โดยทํางานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งใน LAN ซึ่งจะทําหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อไปยังปลายทาง โดยอาจส่งในรูปแบบของ Packet ที่ต่างออกไป เพื่อไปผ่านสายสัญญาณแบบอื่น ๆ เช่น สายโทรศัพท์ที่ต่อผ่านโมเด็มก็ได้ ดังนั้น จึงอาจใช้ Router ในการเชื่อมต่อ UAN หลายแบบเข้าด้วยกันผ่าน WAN ได้ด้วย และเนื่องจากการที่ Router ทําตัวเสมือน เป็น Node หนึ่งใน LAN นี้ยังทําให้สามารถทํางานอื่น ๆ ได้อีกมาก เช่น รวบรวมข้อมูลเพื่อหาเส้นทางที่ดี ที่สุดในการส่งข้อมูลต่อหรือตรวจสอบว่าข้อมูลที่เข้ามานั้นมาจากไหน ควรจะให้ผ่านหรือไม่ เพื่อช่วยใน เรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เราท์เตอร์
       การทํางานของ Router สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง Bridge กับ Router คือ Bridge ทํางานใน ระดับ Data Link Layer คือ จะใช้ข้อมูล Station Address ในการทํางานส่งข้อมูลไปยังที่ใด ๆ ซึ่งหมายเลข Station Address นี้มีการกําหนดมาจากฮาร์ดแวร์หรือที่ส่วนของ Network Interface Card (NIC) และ
กําหนดมาเฉพาะตัวจากโรงงานไม่ให้ซ้ํากันถ้ามีการเปลี่ยน NIC นี้ไปก็จะทําให้ Station AddreSS เบ60% ไปด้วย ส่วน Router ทํางานที่ระดับสูงกว่า คือ Network Layer หรือชั้นที่ 3 ของ OSi โมเดล โดยใช้ Logical Address หรือ Network Layer Address ซึ่งคือ Address ที่ตั้งด้วยซอฟแวร์ ตามที่ผู้ใช้แต่ละเครื่อง จะตั้งขึ้นให้โพรโตคอลในระบบ Network Layer รู้จัก ในการส่งผ่านข้อมูลโพรโตคอลของเครือข่ายชนิด ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น IPX, TCP/IP หรือ Apple Talk ซึ่งจะเป็นโพรโตคอลที่ทํางานใน Network Layer นี้ เช่นกัน การกําหนด Network Address ทําได้โดยผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้น ทําให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลง ได้ง่าย และสามารถใช้อุปกรณ์ Router เชื่อมโยงเครือข่ายที่แยกจากกันให้สามารถส่งผ่านข้อมูลร่วมกันได้ และทําให้เครือข่ายขยายออกไปได้เรื่อย ๆ
หน้าที่หลักของ Router คือ การหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางใน การส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ Router สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบ แตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็น Ethernet, Token Ring หรือ FDDI ทั้ง ๆ ที่ในแต่ละระบบจะมี Packet เป็น รูปแบบของตนเองซึ่งแตกต่างกัน โดยโพรโตคอลที่ทํางานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไป เช่น IPY, TCPIP หรือ AppleTalk เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น Packet ในรูปแบบของ Data Link Layer เมื่อ Router ได้รับข้อมูลมาก็จะตรวจดูใน Packet นี้เพื่อจะทราบว่าใช้โพรโตคอลแบบใด ซึ่งทําได้เพราะ Router ทํางานใน Network Layer ซึ่งเป็นระดับที่สูงพอจะเข้าใจโพรโตคอลต่าง ๆ แล้ว จากนั้นก็จะตรวจดู เส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง Routing Table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใดจึงจะต่อไปถึงปลายทาง ได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น Packet ของ Data Link Layer ที่ถูกต้องอีกครั้ง เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่าย
1.4 Network Interface Card หรือ Adapter Card เป็นแผงวงจรทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ทํา หน้าที่แปลงสัญญาณที่ส่งออกและรับเข้า ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับตัวกลางในการสื่อสาร (Media) ให้อยู่ในรูปแบบสัญญาณที่จะส่งไปบนสายสัญญาณ เพื่อส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้รับได้ส่วนใหญ่จะ ออกแบบมาเป็นการ์ด (Card) หรือแผงวงจรไฟฟ้าที่ส่งลงในช่องสล็อต (Slot) ของไมโครคอมพิวเตอร์ เรียกว่า Network Interface Card (NIC) หรือที่เครื่องกระเป๋าหิ้ว (Notebook) รุ่นใหม่ ๆ มักจะมีช่องเสียบ ซึ่งเรียกว่า Socket สําหรับการ์ดแบบใหม่ เรียกว่า PCMCIA อีกด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Network Interface Card
1.5 อุปกรณ์ทวนสัญญาณ Repeater เป็นอุปกรณ์ทวนสัญญาณ (Repeat) เพื่อให้สัญญาณ ไฟฟ้าที่รับส่งกันในสาย LAN สามารถส่งได้ไกลขึ้นเท่านั้น ใช้ในกรณีที่ต้องการต่อสาย LAN ให้ได้ไกลเกิน กว่ามาตรฐานปกติ แต่ไม่ได้ทําหน้าที่ช่วยจัดการจราจรบน LAN แต่อย่างใด
การทํางานของ Repeater อุปกรณ์ Repeater ถูกนํามาใช้งานในกรณีที่เครือข่ายนั้นต้องการ เพิ่มจํานวนของเครื่องลูกข่ายมากขึ้น แต่ลากสายสัญญาณไม่ได้ เพราะระยะทางจะมากกว่าข้อกําหนดที่ให้ ลากสายได้ ยิ่งระยะทางไกลมากสัญญาณที่ถูกส่งออกไปก็จะเริ่มเพี้ยนและจางลงจนหายไปในที่สุด อุปกรณ์ Repeater จะช่วยจัดการขยายสัญญาณให้แรงขึ้นและจัดรูปสัญญาณที่เพี้ยนไปให้กลับเหมือนเดิม จากนั้น จึงส่งต่อไปในสายสัญญาณ
ข้อเสียของอุปกรณ์ Repeater ก็คือ ไม่สามารถกลั่นกรองสัญญาณที่ไม่จําเป็น เช่น ข้อมูลที่ผู้รับ อยู่ฝั่งเดียวกับผู้ส่ง จึงไม่จําเป็นต้องขยายและส่งต่อออกไปยังเครือข่ายที่อยู่อีกฟากหนึ่งออกไปได้ สัญญาณ ต่าง ๆ ที่เข้ามาก็จะถูกส่งออกไปเหมือนเดิม อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น Packet อะไรส่งออกมาในเครือข่าย Repeater จะไม่สนใจที่หมายปลายทางว่าเป็นเครื่องที่อยู่คนละฟากกันหรือไม่ ถ้ามีสัญญาณมาก็จะส่งต่อ ไปยังอีกฟากหนึ่งให้เสมอ ดังนั้น ถ้ายิ่งมีการเชื่อมต่อเครื่องลูกข่ายจํานวนมากเข้ากับ Repeater ที่มีหลาย ๆ พอร์ต ก็จะมีสัญญาณกระจายไปในเครือข่ายมากขึ้นด้วย ทําให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลงได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อุปกรณ์ทวนสัญญาณ Repeater
2. ซอฟต์แวร์ (Software) มีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
2.1 ระบบปฏิบัติการของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ทําหน้าที่เป็นโปรแกรมระบบปฏิบัติการของ เครื่องเซิร์ฟเวอร์ของระบบ และทําหน้าที่ควบคุมการทํางานของระบบเครือข่ายด้วยระบบปฏิบัติการของ ระบบเครือข่ายซึ่งมีหลายแบบ คือ Netware ของบริษัท Novell, VINES ของ Banyan, UNIX, Windows ของบริษัท Microsoft เป็นต้น
2.2 แอพพลิเคชั่นของเครือข่าย คือ โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ที่องค์กรมีความจําเป็นต้องใช้ งานประจํา หรือเป็นโปรแกรมประยุกต์ใช้งานที่ต้องการแชร์ข้อมูลกับหน่วยข้อมูลต่าง ๆ ภายในองค์กร เช่น MS-Word, MS-Excel และ MS-Access เป็นต้น
3. โพรโตคอล (Protoco) หมายถึง หลักการควบคุมการสื่อสารและวิธีการสื่อสารข้อมูลอย่างมี หลักการ โพรโตคอลที่ใช้กับเครือข่ายท้องถิ่นจะอ้างอิงกับมาตรฐาน IEEE802 (Institute for Electrical and Electronic Engies) โมเดลของการสื่อสารข้อมูลตามข้อกําหนดของ ISO (International Standardization Organization) ได้แบ่งระดับการสื่อสารข้อมูลออกเป็น 7 ระดับ (Layer) การสื่อสารในระดับต่าง ๆ จะอาศัย การควบคุมเพื่อให้ระบบการทํางานนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง มีมาตรฐานโดยการสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกจจะ เกี่ยวพันกับ 3 ระดับล่าง ได้แก่
3.1 ระดับฟิสิคัล (Physical Layer) เป็นระดับเดียวที่เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลเป็นบิต ซึ่ง เกี่ยวข้องกับระดับแรงดันไฟฟ้า ช่วงความถี่ คาบเวลา
3.2 ระดับดาต้าลิงค์ (Data Link Layer) เป็นระดับที่ทําการแปลงการรับส่งข้อมูลที่มีความ ไม่แน่นอนให้แน่นอนขึ้น โดยการจัดรูปแบบข้อมูลเป็นบล็อก เช่น เฟรม (Frame) พร้อมทั้งมีการตรวจสอบ ข้อผิดพลาด
3.3 ระดับเน็ตเวิร์ค (Network Layer) ทําการส่งข้อมูลเป็นแพ็กเกจเข้าไปในเน็ตเวิร์ค แพ็กเกจ อาจเดินทางไปอย่างอิสระ โดยมีการจ่าหน้าแอดเดรสของผู้รับและผู้ส่ง วิธีนี้เรียกว่า Datagramme
4. โทโพโลยี (Topology) หมายถึง รูปแบบการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เข้า ด้วยกันให้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โทโพโลยีมี 2 ลักษณะ คือ โทโพโลยีทางตรรกะ (Logical Topology) แสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครือข่ายเป็นแผนภาพ และโทโพโลยีทางกายภาพ (Physical Topology) หมายถึง การเชื่อมโยงทางกายภาพเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็น การเชื่อมโยงทางวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โทโพโลยีทั่วไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์มักจะหมายถึงโทโพโลยีทาง ตรรกะ ซึ่งมีรูปแบบการเชื่อมโยงหลายรูปแบบ รูปแบบที่สําคัญ มีดังนี้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยี
4.1 การเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ (Complete InterConnect) เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทุก เครื่องในเครือข่ายเข้าด้วยกันแบบจุดต่อจุด ดังแสดงในรูปที่ 10-7 การเชื่อมโยงแบบนี้ทําให้มีความเร็วใน การสื่อสารข้อมูลสูง โปรแกรมที่ใช้ในการควบคุมการสื่อสารก็เป็นแบบพื้นฐานไม่ซับซ้อนมากนัก และไม่ จําเป็นต้องมีหน่วยประมวลผลกลางการสื่อสารในการเลือกเส้นทางสื่อสาร เนื่องจากการเชื่อมโยงแบบนี้มี ความเชื่อมั่นในการสื่อสารสูง และถ้าเพิ่มหน่วยประมวลผลกลางสื่อสารเข้าไปในระบบอีก ก็จะยิ่งทําให้การ สื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ข้อดีของการเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ (Complete Interconnect)
- อุปกรณ์ 1 ตัวต่อสายส่งข้อมูลหลายเส้น ทําให้การเสียหายของอุปกรณ์ใดในระบบไม่กระทบ ต่อการทํางานของจุดอื่น ๆ ในระบบ
ข้อเสียของการเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ (Complete Interconnect)
- ความยาวของสายส่งข้อมูล เนื่องจากแต่ละจุดจะต่อโดยตรงกับศูนย์กลางต้องใช้สายส่ง อ้างจํานวนมาก ทําให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการติดตั้งและบํารุงรักษา
- การขยายระบบทําได้ลําบาก การเพิ่มจุดใหม่เข้าไปในระบบจะต้องเดินสายจากจุดศูนย์กลาง 22
- ค่าใช้จ่ายสูง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์
4.2 โทโพโลยีแบบตาข่าย (Net Topoloy) มี ลักษณะการเชื่อมโยงคล้ายกับการเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ในบาง สถานี้เท่านั้น เนื่องจากการเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์มีค่าใช้จ่ายสูง และสถานึ่งานบางแห่งอาจมีปริมาณการใช้งานไม่มากนัก จึง นิยมใช้การเชื่อมโยงแบบตาข่ายสําหรับสถานที่ใช้งานน้อยเพื่อ คิดค่าใช้จ่าย ส่วนสถานีที่มีการสื่อสารข้อมูลในปริมาณสูงและส่ง ระยะไกลก็ใช้การเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ ทําให้ติดต่อถึงกันได้โดยไม่ต้องผ่านเครื่องอื่น
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยีแบบตาข่าย
4.3 โทโพโลยีแบบดาว (Star Topology) มีรูปแบบการเชื่อมโยงโดยนําสถานีงานหลาย ๆ งานมาเชื่อมกับศูนย์กลางการสื่อสารโดยตรง ซึ่งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์กลางหรือหน่วยประมวลผล การสื่อสาร การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานึ่งานสามารถกระทําได้โดยติดต่อผ่านศูนย์กลาง การสื่อสารข้อมูล ซึ่งจะทําหน้าที่ตัดต่อวงจรให้สถานึ่งานเชื่อมโยงกันได้เหมือนชุมสายโทรศัพท์
ข้อดีของโทโพโลยีแบบดาว (Star Topology)
- ง่ายในการให้บริการเพราะโทโพโลยีแบบดาวมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เดียว เช่น ที่ศูนย์กลางสายส่ง ร้อง หรือที่ เนวิทยาะ Closet ซึ่งง่ายในการให้บริการหรือการติดตั้งระบบ
ประเ1 ตัวต่อสายส่งข้อบล 1 เส้น ทําให้ความเสียหายของอุปกรณ์ได้ในระบบไม่กระทบ ติง 3 นางสุดในๆ ในระบบ
- พรเติศแบบง่าย ๆ ได้ การเชื่อมต่อในระบบที่ใช้โทโพโลยแบบดาวจะเกี่ยวข้องกัน ระหว่างสระวางและอุปกรณ์ที่ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น ทําให้การควบคุมการส่งข้อมูลทําได้ง่าย
ข้อเสียของโทโพโลยีแบบดาว (Star Topology)
- ความยาวของสายส่งข้อมูล เนื่องจากแต่ละจุดจะต่อโดยตรงกับศูนย์กลางต้องใช้สายส่งข้อมูล จํานวนมาก ทําให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการติดตั้งและบํารุงรักษา
- การขยายระบบทําได้ลําบาก การเพิ่มจุดใหม่เข้าไปในระบบจะต้องเดินสายจากจุดศูนย์กลาง
การทํางานขึ้นกับจุดศูนย์กลาง ถ้าจุดศูนย์กลางเกิดเสียหายขึ้นมาแล้วทั้งระบบก็จะไม่ สามารถทํางานได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยีแบบดาว
4.4 โทโพโลยีแบบต้นไม้ (Tree Topology) มีลักษณะเชื่อมโยงคล้ายกับโทโพโลยีแบบดาว แต่จะมีโครงสร้างแบบต้นไม้ โดยมีสายนําสัญญาณแยกออกไปเป็นแบบกิ่งไม้ไม่เป็นวงรอบ โทโพโลยีแบบนี้นะ เหมาะกับการประมวลผลแบบกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับต่าง ๆ กันหลายเครื่องต่อกัน
ข้อดีของโทโพโลยีแบบต้นไม้ (Tree Topology) - ง่ายในการให้บริการหรือการติดตั้งระบบ
- อุปกรณ์ 1 ตัวต่อสายส่งข้อมูล 1 เส้น ทําให้การเสียหายของอุปกรณ์ใดในระบบไม่กระทบ ต่อการทํางานของจุดอื่น ๆ ในระบบ
- ใช้โพรโตคอลแบบง่าย ๆ ได้ ทําให้การควบคุมการส่งข้อมูลทําได้ง่าย ข้อเสียของโทโพโลยีแบบต้นไม้ (Tree Topology)
- ความยาวของสายส่งข้อมูล เนื่องจากแต่ละจุดจะต่อโดยตรงกับศูนย์กลาง ต้องใช้สายส่งข้อมูล จํานวนมาก ทําให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการติดตั้งและบํารุงรักษา
- การขยายระบบทําได้ลําบาก การเพิ่มจุดใหม่เข้าไปในระบบจะต้องเดินสายจากจุดศูนย์กลาง ออกมา
- การทํางานขึ้นกับจุดศูนย์กลาง ถ้าจุดศูนย์กลางเกิดเสียหายขึ้นมาแล้วทั้งระบบก็จะไม่ สามารถทํางานได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยีแบบต้นไม้
4.5 โทโพโลยีแบบบัส (Bus Topology) จะมีการใช้สายนําสัญญาณร่วม ซึ่งเรียกว่า สายน้ํา สัญญาณหลัก (Backbone) โดยทุกสถานีที่ต้องการเชื่อมเข้าเครือข่ายจะต่อสายนําสัญญาณออกจากสาย หลักดังแสดงในรูปที่ 10-11 การส่งข้อมูลออกจากเครื่องหลักให้ข้อมูลวิ่งไปบนสายส่ง ข้อมูลจะถูกสถานีงานที่ เป็นเจ้าของข้อมูลนั้นนําไปใช้งานโดยตรวจสอบได้จากจ่าหน้า (Header) ในข้อมูลที่ส่ง และจากการที่มี สายเดียวในการเชื่อมโยงทุกสถานีทําให้ค่าใช้จ่ายน้อย สามารถใช้เชื่อมโยงกับสถานีงานทุกจุดในสายส่ง ข้อมูลหลัก โดยไม่มีผลกระทบกับการทํางานของสถานีอื่น ๆ นอกจากนี้ โปรแกรมที่ควบคุมการสื่อสาร เป็นแบบธรรมดา และไม่จําเป็นต้องมีหน่วยประมวลผลการสื่อสาร
ข้อดีของโทโพโลยีแบบบัส (Bus Topology)
- ใช้สายส่งข้อมูลน้อยและมีรูปแบบที่ง่าย การใช้สายส่งข้อมูลจะใช้สายส่งข้อมูลร่วมกัน ทําให้ ใช้สายส่งข้อมูลได้อย่างประหยัด ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบํารุงรักษา
- มีโครงสร้างที่ง่าย สถาปัตยกรรมแบบนี้มีโครงสร้างที่ง่ายและมีความเชื่อถือได้เพราะใช้สายส่ง ข้อมูลเพียงเส้นเดียว
- ง่ายในการเพิ่มจุดใช้บริการใหม่เข้าไปในระบบ จุดใหม่จะใช้สายส่งข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้และยัง อาจขยายระบบออกไปโดยเพิ่มเซกเมนต์ที่ต่อออกมาโดยใช้ตัวทวนสัญญาณได้
ข้อเสียของโทโพโลยีแบบบัส (Bus Topology)
- การหาข้อผิดพลาดของระบบทําได้ยาก แม้ว่าโครงสร้างแบบบัสนี้จะมีรูปแบบที่ง่าย แต่การ ตรวจสอบข้อผิดพลาดจะทําได้ยาก ในระบบเครือข่ายท้องถิ่นส่วนใหญ่การควบคุมระบบจะไม่มีศูนย์กลาง อยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งเฉพาะ ซึ่งหมายความว่า การตรวจสอบข้อผิดพลาดต้องทําจากหลาย ๆ จุดในระบบ
- ในกรณีที่เกิดการเสียหายในสายส่งข้อมูล จะทําให้ทั้งระบบไม่สามารถจะทํางานได้
- เมื่อจะขยายระบบเครือข่ายแบบบัสโดยใช้ตัวทวนสัญญาณ อาจต้องมีการจัดโครงสร้าง ของระบบใหม่
จุดในระบบต้องฉลาดพอ เนื่องจากแต่ละจุดในระบบเครือข่ายต่อโดยตรงกับบัส ซึ่งหมายความ ว่า การตัดสินใจว่าใครจะใช้งานสายส่งข้อมูลจะเป็นหน้าที่ของแต่ละจุด ทําให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยีแบบบัส
4.6 โทโพโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology) เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันใน ลักษณะของวงแหวนดังรูปที่ 10-12 ข้อมูลจะถูกส่งออกไปและเคลื่อนไปเป็นวงรอบสถานึ่งานเครือข่าย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทโพโลยีแบบวงแหวน
มาตรฐานการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
การกําหนดมาตรฐานของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ๆ จะมุ่งเน้นถึงคําสั่งการทํางานภายใน และการเชื่อมต่ออุปกรณ์พื้นฐานต่าง ๆ ก่อให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า ระบบปิด (Closed System) ซึ่งหมายความว่า ในระบบนี้จะมีการติดต่อสื่อสารกันได้ เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาจากบริษัทผู้ผลิต เดียวกัน หรือถ้าบริษัทอื่นต้องการเข้าร่วมในการสื่อสารด้วย ก็ต้องพยายามทําให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผลิต ขึ้นมีลักษณะที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการติดต่อให้มากที่สุด หรือที่เรียกกันว่า Plug-Compatible System
ต่อมาเมื่อได้เล็งเห็นข้อเสียของระบบปิดแล้ว องค์กรต่าง ๆ ก็ได้มุ่งเน้นที่จะกําหนดมาตรฐาน สําหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จะนํามาต่อเชื่อมกับโครงข่ายสื่อสารสาธารณะ และมีการกําหนดมาตรฐาน เอาไว้หลายลักษณะ ดังต่อไปนี้คือ
1. V-Series Recommendations เป็นการกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์ เช่น Modem ซึ่งจะนำมาเชื่อมต่อกับระบบโทรศัพท์ (PSTN-Public Switched Telephone Network) หรือ ที่มักจะเรียกระบบนี้ว่า Data Terminal Equipment (DTE)
2. X-Series Recommendations เป็นการกำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่ออุปกรณ์ DTE กับ โครงข่ายสื่อสารข้อมูลสาธารณะ (PSDN-Pubilc Switched Data Network)
3. I-Series Recommendations เป็นการกําหนดมาตรฐานการเชื่อมต่ออุปกรณ์ DTE กับ โครงข่ายสื่อสารร่วมระบบดิจิตอล (ISDN-Integrated Services Digital Network)
ผลจากการกําหนดมาตรฐานดังกล่าวข้างต้น ทําให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ถูกออกแบบมาให้มีความ คล้ายคลึงกัน และสามารถทํางานทดแทนกันได้ ซึ่งมีผลทําให้ผู้ซื้อสามารถเลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จากผู้ขาย จํานวนมากรายขึ้น
ในระยะแรกบริการโครงข่ายสื่อสารสาธารณะ จะมุ่งเน้นด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครือข่าย
ให้มาตรฐานต่าง ๆ ถูกกําหนดขึ้นโดยเน้นในด้านของการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าสู่ระบบ เครือข่ายนั้น แต่ต่อมาระบบเครือข่ายสื่อสารสาธารณะก็ได้เริ่มขยายการให้บริการข้อมูลไปยังด้านอื่น ๆ เช่น การให้บริการแลกเปลี่ยนข้อความทางอิเล็กทรอนิกส์ (Teletex) การให้บริการเข้าถึงระบบฐานข้อมูล สาธารณะ (Videotex)
เพื่อที่จะทําให้บริการต่าง ๆ เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการกําหนดมาตรฐานซึ่งไม่เพียง แต่ครอบคลุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะนํามาเชื่อมต่อเข้ากับระบบดังกล่าว แต่ยังคงครอบคลุมถึงรูปแบบ (Syntax) ของข้อมูล ที่จะนําเข้าสู่ระบบการแลกเปลี่ยนผ่านทางเครือข่ายด้วย ซึ่งผลของการกําหนดมาตรฐานนี้ ทําให้อุปกรณ์จากบริษัทผู้ผลิตหนึ่งสามารถที่จะนํามาใช้แลกเปลี่ยนหรือทดแทนกันได้กับอุปกรณ์จากบริษัท ผู้ผลิตอื่น ๆ ที่ได้ผลิตขึ้นตามมาตรฐานเดียวกัน
มาตรฐานดังกล่าว ก่อให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์ชนิดเปิด (Open System) หรือเรียกอีกอย่างว่า สภาพแวดล้อมของการเชื่อมต่อในระบบเปิด (OSIE-Open System Interconnection Environment) จะแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการกําหนดมาตรฐานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมถึงสถาบันต่าง ๆ อันมี ส่วนร่วมในการกําหนดมาตรฐาน
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 ระบบการกระจายการสื่อสาร ทั้งชนิดที่ขึ้นอยู่กับโครงข่ายสื่อสาร สาธารณะและโครงข่ายสื่อสารในธุรกิจ ได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างหลากหลายโดยอาศัยประโยชน์จากระบบเปิด ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้เริ่มมีมาตรฐานต่าง ๆ ได้ถูกกําหนดขึ้นเป็นจํานวนมาก มาตรฐานชนิดแรกกําหนด ขึ้นเพื่อครอบคลุมโครงสร้างทั้งหมดของการสื่อสารจากระบบย่อยภายในคอมพิวเตอร์ และองค์กรที่ กําหนดมาตรฐานนี้คือ ISO (International Standards Organization) และเรียกมาตรฐานนี้ว่า ISO Reference Model for Open System Interconnection (OSI)
จุดมุ่งหมายของ ISO Reference Model คือ การกําหนดโครงร่างสําหรับการกําหนดมาตรฐาน ต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบ เพื่อให้มาตรฐานเดิมที่มีอยู่กับมาตรฐานอื่น ๆ ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ดําเนินไปใน ทิศทางเดียวกัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การอนุญาตให้โปรแกรมใช้งานต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ที่ดําเนินการ ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ได้ดําเนินการติดต่อกับโปรแกรมที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่อยู่ภายใต้มาตรฐาน เดียวกันได้โดยอิสระ โดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าโปรแกรมนั้นจะมาจากบริษัทผู้ผลิตใด
ตัวอย่างของโปรแกรมต่าง ๆ ที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารโดยวิธีของระบบเปิด ได้แก่
1. โปรแกรมที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นแล้วนํามาประมวลผลในเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมนั้นอยู่
2. โปรแกรมที่ทําหน้าที่เสมือนเป็นตัวบริการฐานข้อมูล (Server) สําหรับโปรแกรมอื่น ๆ ในระบบการ ประมวลผลแบบกระจาย (Distributed)
3. โปรแกรมที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเครือข่าย แล้วต้องการใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
4. โปรแกรมที่ทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางการให้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่โปรแกรมอื่น ๆ ใน ระบบการประมวลผลแบบกระจาย (Distributed)
5. โปรแกรมที่ทําหน้าที่ควบคุมโปรแกรมอื่นในงานเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องจักรกลหรืออุปกรณ์ ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์
6. โปรแกรมที่ควบคุมเครื่องจักรกลหรืออุปกรณ์ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขณะกําลังรับคําสั่งจาก โปรแกรมควบคุมอีกชั้นหนึ่ง
7. โปรแกรมที่อยู่ที่ศูนย์กลางธนาคาร ขณะทําหน้าที่ปรับปรุงยอดบัญชีของลูกค้าที่อยู่ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายระยะไกล

OSI Model
องค์กรมาตรฐานสากลหรือ ISO (International Organization Standardization) ได้มีการศึกษา และหาแนวทางในการกําหนดมาตรฐานของเครือข่าย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทั้งสามประการ ซึ่งจะทําให้การ เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายสามารถทําได้ ISO ค้นพบว่า ระบบเครือข่ายจะมีกิจกรรมพื้นฐานต่าง ๆ เช่น
การรับ-ส่งข้อมูล การเข้าใช้งานในเครื่องแม่ข่าย การสั่งพิมพ์ที่เครื่องพิมพ์ในเครือข่าย เป็นต้น ดังนั้น ISO ได้จัดแบ่งกิจกรรมเหล่านั้นออกเป็นงานย่อย และกําหนดเป็นโมเดลแบ่งเป็นชั้น ๆ ตามลําดับ เรียกว่า มาตรฐาน Open System InterConnection หรือ OSI ด้วยวิธีการแบ่งกิจกรรมที่ซับซ้อนในเครือข่ายออก เป็นงานย่อย ๆ เพื่อจะช่วยทําให้การออกแบบและใช้งานเครือข่ายรวมถึงการเชื่อมโยงกันเป็นไปได้ด้วย ความสะดวก และมีวิธีการทํางานอยู่ในกรอบเดียวกัน โมเดล OSI นี้เป็นต้นแบบแนวคิดในการสร้างเครือข่าย แต่ไม่ใช่พิมพ์เขียวตามตัวอย่างในการก่อสร้าง และไม่ใช่เป็นวิธีการสร้างระบบเครือข่ายโดยตรง แต่เป็น มาตรฐานให้กับผู้ที่ต้องการสร้างระบบเครือข่ายหรืออุปกรณ์ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องนํามา ใช้กับเครือข่ายได้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเท่านั้น
ระบบย่อยของการสื่อสารข้อมูลเป็นส่วนที่มีความซับซ้อนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน Hardware หรือ Software ในสมัยแรก ๆ การพยายามสร้างโปรแกรมเพื่อการติดต่อสื่อสารนั้น จะสร้างโปรแกรมที่ ค่อนข้างจะซับซ้อน ด้วยการมีส่วนประกอบหลายส่วนใน 1 โปรแกรม โปรแกรมประเภทนี้ โดยมากจะ เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลี ซึ่งผลของมันก็คือโปรแกรมเหล่านี้จะยุ่งยากในการทดสอบหรือปรับปรุงแก้ไข
และเพื่อที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ISO จึงได้นําเอาวิธีการของระบบลําดับชั้น (Layer) มาใช้ใน เรื่องของ Reference Model ระบบย่อยการสื่อสารข้อมูลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกแบ่งออกเป็น ลําดับขัน หลาย ๆ ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะทําหน้าที่ซึ่งได้กําหนดไว้โดยเฉพาะ โดยแนวความคิดแล้ว ลําดับชั้น เหล่านี้ จะทําหน้าที่โดยทั่ว ๆ ไป 2 ประการ คือ
1. การติดต่อในระดับของเครือข่าย 2. การติดต่อในระดับโปรแกรมด้วยกัน จากหน้าที่ทั้ง 2 ประการดังกล่าว ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมในการประมวลผล 3 ลักษณะ ได้แก่
1. สภาพแวดล้อมของระบบเครือข่าย (Network Environment) จะเกี่ยวข้องกับการกําหนด มาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารข้อมูลระหว่างระบบเครือข่าย
2. สภาพแวดล้อมของระบบเปิด (OSI Environment) ซึ่งจะครอบคลุมสภาพแวดล้อมของระบบ เครือข่ายและการสื่อสารข้อมูลระหว่างโปรแกรมด้วยกัน เพื่อที่จะอํานวยความสะดวกให้เครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ในลักษณะของระบบเปิด
3. สภาพแวดล้อมของระบบอันแท้จริง (Real Systems Environment) โดยโปรแกรมในการ สื่อสารข้อมูลของบริษัทผู้ผลิต จะถูกออกแบบและสร้างให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของระบบเปิด ซึ่ง วัตถุประสงค์ของการสร้างระบบนี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะให้บริการข้อมูลในระบบการประมวลผลแบบกระจาย
ทั้งการติดต่อในระดับของเครือข่ายและการติดต่อในระดับโปรแกรมด้วยกันของระบบเปิดนั้น จะ กระทําโดยอาศัยระบบการแบ่งออกเป็นลําดับชั้น ขอบเขตและหน้าที่ของแต่ละลําดับชั้นนั้น ได้ถูกกําหนด ขึ้นโดยอาศัยการศึกษาจากระบบการกําหนดมาตรฐานในสมัยแรก ๆ
การทํางานของแต่ละลําดับชั้น จะเป็นไปเพื่อเสริมให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการสื่อสารรวมทั้งระบบ โดยจะควบคุมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งตัวของข้อมูลเองและส่วนควบคุมข้อมูลที่จําเป็นต้องใช้ รวมถึง การตอบรับจากลําดับชั้นเดียวกันในคอมพิวเตอร์อีกชุดหนึ่งที่ต้องการติดต่อด้วย แต่ละลําดับชั้นจะได้รับ การออกแบบเพื่อการเชื่อมต่อภายในชั้นเดียวกัน และการเชื่อมต่อกับลําดับชั้นอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ในระดับสูงกว่า และต่ํากว่าด้วย แต่อย่างไรก็ตามการทํางานของแต่ละลําดับขั้น ก็จะเป็นอิสระต่อกันโดยมีการทํางาน เสร็จสมบูรณ์ภายในชั้นนั้น ๆ

OSI Model ถูกออกแบบมาให้ประกอบด้วย 7 ลําดับชั้น ได้แก่
1. Application Layer 2. Presentation Layer 3. Session Layer 4. Transport Layer 5. Network Layer 6. Data Link Layer 7. Physical Layer
ในแต่ละชั้นของ OSI โมเดลจะมีการสื่อสารติดต่อกันเป็นชั้น ๆ ตามลําดับลงมา เช่น Application Layer ก็จะสื่อสารกับ Presentation Layer แล้ว Presentation Layer ก็จะสื่อสารกับ Session Layer ตามลําดับไปจนถึงชั้นแรกสุด คือ Physical Layer ถ้าจะจัดแบ่งชั้นต่าง ๆ ของโมเดลออกเป็นกลุ่มจะได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มแรก ประกอบด้วย Application, Presentation และ Session Layer ทําหน้าที่หลักใน การจัดการเรื่องราวของแอปพลิเคชั่น
2. กลุ่มที่สอง คือ Transport, Network, Data Link และ Physical Layer ทําหน้าที่จัดการ เรื่องราวของการส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายและในเครือข่ายเดียวกัน
หน้าที่การทํางานของแต่ละลําดับชั้น ได้ถูกกําหนดเอาไว้เป็นกฎเกณฑ์ เพื่อที่แต่ละลําดับชั้น จะได้ใช้ กฎเกณฑ์เหล่านั้นในการสื่อสารระหว่างลําดับชั้นเดียวกันในระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการจะสื่อสารด้วย แต่ละ ลําดับชั้นจะถูกกําหนดว่าจะให้บริการใดบ้างที่จะเสริมการทํางานของลําดับชั้นที่สูงขึ้นไป ในขณะเดียวกันก็ จะถูกกําหนดว่า ต้องการบริการใดบ้างจากลําดับชั้นที่อยู่ต่ํากว่า เพื่อให้การสื่อสารข้อมูลบรรลุตามวัตถุประสงค์ ได้ ตัวอย่างเช่น การทํางานของ Transport Layer จะส่งข้อความเกี่ยวกับการสื่อสารในระดับ Network ว่าได้ดําเนินการได้สําเร็จ มีการเชื่อมต่อระหว่าง Network เป็นผลหรือไม่อย่างไรไปให้กับ Layer ที่อยู่เหนือ ขึ้นไป คือ Session Layer และจะใช้บริการที่ได้จาก Layer ที่อยู่ต่ํากว่า Network Layer ในการที่จะ โอนย้ายข้อความเกี่ยวกับการสื่อสารใน Network ไปให้กับ Transport Layer ที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ อีกระบบที่กําลังติดต่อสื่อสารอยู่
โดยหลักการแล้วในแต่ละ Layer จะมีการสื่อสารไปยัง Layer ที่อยู่ในระดับเดียวกันที่อยู่ใน คอมพิวเตอร์อีกระบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติกระบวนการในการส่งข้อความสื่อสารนั้น จะถูก กระทําโดยอาศัยวิธีการให้บริการของ Layer ที่อยู่ต่ํากว่า
รายละเอียดของแต่ละลําดับชั้นเป็นดังนี้
1. Application Layer เป็นชั้นบนสุดของโมเดลจะเป็นส่วนที่ทําการติดต่อระหว่างแอปพลิเคชั่น ของเครือข่ายกับผู้ใช้เป็นไปได้ตามที่ต้องการ ตัวอย่างแอปพลิเคชั่นของเครือข่ายเช่น ระบบ E-Mail. การ โอนถ่ายแฟ้มข้อมูล (File Transfer) การขอเข้าใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย (Host Terminal) การจัดแฟ้มข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงการบริการทางด้านการแลกเปลี่ยนเอกสาร
และข้อความต่าง ๆ Application Layer จะทําหน้าที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ของเครือข่ายตามที่ผู้ใช้ต้องการ นั่นเอง โดยจะอยู่ระดับบนที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้ที่สุดการเข้าไปใช้บริการในระดับ Application Layer โดยปกติ จะใช้โดยการพิมพ์คําสั่งต่าง ๆ ผ่านทางระบบโปรแกรมควบคุมเครื่อง (OS) โดย OS จะถือว่าอุปกรณหรอ โปรแกรมต่าง ๆ ในการสื่อสารนั้นเป็นอุปกรณ์ย่อยของระบบคอมพิวเตอร์นั่นเอง การบริการของลําดับชั้นน จะแสดงให้ผู้ใช้เข้าใจได้ในทันที โดยไม่ว่าการสื่อสารจะประสบความสําเร็จหรือไม่ และหากมีข้อผิดพลาด ประการใด ผู้ใช้ก็จะทราบได้จากข้อความที่แสดงออกมานอกเหนือจากบริการด้านต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น แล้ว ยังมีบริการอื่น ๆ ที่ Application Layer จัดให้ดังนี้ คือ
• การระบุระบบคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยอาจจะใช้วิธีการเรียกชื่อหรือเรียกตามที่อยู่ (Address) ก็ได้
  • กําหนดว่าเครื่องปลายทางที่ต้องการติดต่อนั้น อยู่ในสถานะที่พร้อมสําหรับการสื่อสารหรือไม่
  • กําหนดอํานาจหน้าที่ ความสําคัญ ในการติดต่อสื่อสาร
  • การร่วมตกลงในระบบการใส่รหัสเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
  • การรับรองเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการสื่อสารด้วยว่า อยู่ในสถานะที่จะสื่อสารได้หรือไม่
  • กําหนดและเลือกข้อมูลประกอบต่าง ๆ ที่จําเป็นต้องใช้เมื่อมีการสื่อสาร
  • การร่วมตกลงเกี่ยวกับความรับผิดชอบ กรณีการกู้ข้อมูลที่เกิดความเสียหาย
  • กําหนดข้อจํากัดต่าง ๆ เกี่ยวกับรูปแบบของข้อมูลที่จะใช้ส่ง เช่น รูปแบบตัวอักษรที่จะใช้ หรือโครงสร้างของข้อมูล
2. Presentation Layer เป็นชั้นที่มีการกําหนดหน้าที่ไม่ชัดเจนนัก และมีการนําไปใช้ไม่มาก เสน้าที่หลักคือ เป็นส่วนที่จัดรูปแบบและนําเสนอข้อมูลระหว่างการสื่อสารให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยได้มี การกําหนดรูปแบบการส่งข้อมูลสําหรับใช้ในการแลกเปลี่ยน รูปแบบที่จะมีการกําหนดไว้ใน 2 ลักษณะ คือ
• Abstract Data Syntax เป็นรูปแบบที่ใช้ในการเก็บข้อมูลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
• Transfer (or Concrete) Syntax เป็นรูปแบบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างกัน ถ้าหากว่า รูปแบบทั้งสองมีความแตกต่างกันก็เป็นหน้าที่ของ Presentation Layer ที่จะทําการแปลงข้อมูลให้อยู่ใน รูปแบบที่ผู้ใช้มีความเข้าใจได้ เวลานําเสนอทั้งนี้ยังรวมไปถึงการดัดแปลงข้อมูลในรูปมาตรฐาน ASCI หรือ EBCDIC การลดขนาดข้อมูล (Data Compression) การเข้ารหัสหรือถอดรหัสของข้อมูลเพื่อความปลอดภัย ในการสื่อสาร แต่ส่วนใหญ่แล้วแอปพลิเคชันจะเป็นตัวจัดการแทนได้
ตัวอย่างของ Presentation Layer ที่เข้าใจได้ง่าย ๆ เช่น การพูดโทรศัพท์ระหว่างบุคคลที่พูด ภาษาฝรั่งเศสและบุคคลที่พูดภาษาสเปน บุคคลทั้งสองใช้ล่ามในการแปลภาษา และภาษากลางที่ใช้ก็คือ ภาษาอังกฤษ ล่ามแต่ละฝ่ายก็จะแปลจากภาษาทางฝ่ายของตนออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วฝ่ายที่รับก็จะ แปลภาษาอังกฤษนั้นกลับเป็นภาษาของตนอีกต่อหนึ่ง บุคคลผู้พูดทางโทรศัพท์ก็เปรียบเสมือนกับโปรแกรม 2 โปรแกรม ที่ต้องการสื่อสารกัน ตัวล่ามก็เปรียบเสมือนกับ Presentation Layer ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งสองฝ่าย ภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน เปรียบเสมือนกับ Abstract Data Syntax ส่วนภาษาอังกฤษ
เปรียบได้กับ Transfer (or Concrete) Syntax ทั้งนี้จะต้องนึกอยู่เสมอว่า ในการสื่อสารข้อมูลนั้น จะต้อง มีการใช้ภาษากลางอันเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปภาษาหนึ่งเสมอ นอกจากนั้น ตัวกลางในการแปลภาษาจาก ต้นทางและปลายทางให้เป็นภาษากลาง ก็ไม่จําเป็นจะต้องเข้าใจในความหมายของข้อมูลที่สื่อสารนั้นเสมอไป หน้าที่อีกประการหนึ่งของ Presentation Layer ก็คือ เรื่องความปลอดภัยของข้อมูลโดยมีการเข้ารหัสข้อมูล (Encrypted) ก่อนส่งออกไป และเมื่ออีกฝ่ายได้รับข้อมูลแล้ว ก่อนนํามาใช้ก็จะมีการถอดรหัส (Decrypt) ตามรูปแบบที่ได้มีการกําหนดเอาไว้ล่วงหน้าทั้งสองฝ่าย แม้ว่าวิธีการเข้ารหัสข้อมูลนี้จะมิได้มีการกําหนด เอาไว้ในมาตรฐานใด ๆ เลยก็ตาม แต่ก็ได้มีผู้นํามาใช้กันอย่างแพร่หลาย
3. Session Layer เป็นชั้นที่จัดการในเรื่องของการสร้าง “การติดต่อแต่ละครั้ง” หรือ Session ให้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งสองฝั่ง กล่าวง่าย ๆ คือ จะให้บริการแก่โปรแกรมสื่อสารได้จัดการรวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ ที่จะใช้ในการติดต่อสื่อสาร โดยทําหน้าที่ตั้งแต่เริ่มการติดต่อ ดูแลให้การส่งผ่านข้อมูลในการติดต่อ ครั้งนั้น ๆ เป็นไปได้โดยไม่มีปัญหา จนถึงการเลิกการติดต่อเมื่อเสร็จงาน ซึ่ง Session Layer นี้จะรับผิดชอบ เกี่ยวกับการจัดสรรช่องการสื่อสารระหว่าง Application Layer ทั้งสองฝ่ายให้สามารถสื่อสารกันได้จน เสร็จสมบูรณ์ โดยต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก Presentation Layer นอกจากนั้นยังให้บริการด้านต่าง ๆ ดังนี้คือ
• ให้บริการจัดการเรื่องการโต้ตอบข้อมูล ซึ่งจะให้บริการทั้งในแบบส่งข้อมูลไม่พร้อมกัน (HalfDuplex) และแบบพร้อมกัน (Full-Duplex)
• การสื่อสารในทิศทางเดียวกัน ในการสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายระยะไกล ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาด ขึ้น ระหว่างการสื่อสารในจุดใดจุดหนึ่ง Session Layer จะอนุญาตให้ผู้ใช้เลือกที่จะทําการรับ-ส่งข้อมูลใหม่ อีกครั้งในเวลาใดก็ได้
• การรายงานเกี่ยวกับข้อผิดพลาด ถ้าในระหว่างการสื่อสารเกิดมีข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถแก้ไข ได้ Session Layer จะทําการส่งสัญญาณเพื่อแจ้งให้ Application Layer รู้ถึงข้อผิดพลาดนั้น
4. Transport Layer ทําหน้าที่ควบคุมปริมาณและรายละเอียดวิธีการรับส่งข้อมูลให้เป็นไปตาม กําหนดที่ได้ตั้งไว้ และจัดการให้การเชื่อมโยงเครือข่ายเป็นไปอย่างราบรื่น Transport Layer เป็นชั้น สุดท้ายที่จัดการเรื่องของเส้นทางในการส่งข้อมูล และจัดการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล ซึ่งส่วน ของ TCP (Transmission Control Protocol) ในโพรโตคอล TCP/IP แบบที่ใช้ในอินเทอร์เน็ตจะทํางาน ที่ระดับชั้นนี้
Transport Layer จะทําหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง 2 Layer คือ Application-Oriented Layer ซึ่งอยู่เหนือกว่า กับ Network-Dependent Protocol Layer ซึ่งอยู่ต่ํากว่า และมีหน้าที่ในการเตรียม ข้อความต่าง ๆ ในการสื่อสารให้กับ Session Layer
บริการของ Transport Layer จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ • Class 0 จะให้บริการคําสั่งพื้นฐานในการสื่อสารข้อมูล
• Class 4 จะให้บริการเกี่ยวกับคําสั่งในการควบคุมการไหลของข้อมูล และคําสั่งในการตรวจสอบ ข้อผิดพลาดต่าง ๆ
ตัวอย่างบริการใน Class 0 จะถูกนํามาใช้เมื่อมีการสื่อสารด้วยระบบ PSDN (Public SWItOne 02 Network) และ Class 4 จะถูกนํามาใช้เมื่อมีการสื่อสารด้วยระบบ PSTN (Public Switched Telephone Network)
5. Network Layer ทําหน้าที่ควบคุมวิธีการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครือข่ายให้ถูกต้อง และเป็นไป ตามเส้นทางที่กําหนด ทําหน้าที่ในการเชื่อมต่อเส้นทางการสื่อสารระหว่าง Transport Layer ของเครือข่าย ต้นทางและปลายทาง โดยจะจัดเตรียมคําสั่งการทํางานเกี่ยวกับการหาที่หมายปลายทาง (Addressing) และควบคุมการไหลของข้อมูลในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่าย และในกรณีของการ ติดต่อระหว่างเครือข่าย Network Layer ก็จะมีการจัดเตรียมคําสั่งการทํางาน เพื่อทําให้การติดต่อเป็นไป อย่างราบรื่นสมบูรณ์ในปัจจุบันเมื่อมีการใช้เครือข่ายมากขึ้น ขนาดใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น จะมีการจัดการ แบ่งเครือข่ายนั้นให้เป็นส่วนย่อยหรือ Network Segment หรือที่เรียกว่า Subnetwork โดยใช้อุปกรณ์ Bridge หรือ Router ทั้งนี้ Network Layer จะจัดการส่งผ่าน Packet ข้อมูล (Data Packet คือ ข้อมูลที่ถูก จัดให้อยู่ในรูปที่กําหนดไว้แล้วนั่นเอง) ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปยังเครือข่ายย่อยให้อย่างถูกต้องตามที่ต้องการ นอกจากนี้ Network Layer จะจัดการดูแลเส้นทางในการส่งข้อมูล (Routing Table) และกลั่นหรือกรอง Packet ข้อมูลที่ส่งไปยังที่หมายภายในเครือข่ายย่อยเดียวกัน ไม่ให้ข้ามไปยังเครือข่ายย่อยอื่น ซึ่งจะช่วย ลดปริมาณข้อมูลที่จะวิ่งบนเครือข่ายได้ส่วนหนึ่ง โพรโตคอล IP, TCP/IP และ IPX เป็นโพรโตคอลที่ทํางานอยู่ ใน Layer นี้
6. Data Link Layer จะจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อมต่อให้กับ Network Layer และจะ หน้าที่เรียกใช้หรือกําหนดช่องทางในการส่งข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น Ethernet, Token Ring หรือ FDD เป็นต้น รวมถึงการควบคุมลําดับและอัตราการรับส่งข้อมูลหรือ Flow Control และสถานที่ที่จะส่งข้อมูล ไป (Address) ทั้งนี้ Data Link Layer เป็นชั้นแรกที่จัดการแปลงข้อมูลจากบิตให้อยู่ในรูปของ Packet โดยจะมีการเพิ่มข้อมูลเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในกรณีส่งข้อมูลออกไป หรือในกรณีอ่านข้อมูลเข้ามาก็ จะตรวจสอบส่วน Checksum เพื่อดูว่าข้อมูลที่ได้รับมาถูกต้องครบถ้วน และถ้าได้รับ Packet ข้อมูลที่ไม่ ถูกต้องก็จะไม่เอาข้อมูลนั้นไปใช้งานต่อ และบอกไปยังต้นทางให้ส่งมาใหม่ ตัวอย่างเช่น คําสั่งในการ ตรวจสอบข้อผิดพลาด หรือถ้ามีข้อผิดพลาดแล้วต้องส่งข้อมูลใหม่ ก็จะมีคําสั่งในการส่งข้อมูลซ้ํา โดยปกติ แล้วจะมีการให้บริการใน 2 รูปแบบ ได้แก่
• Connection Less ถ้าหากมีการตรวจสอบและพบข้อผิดพลาดก็จะตัดการสื่อสารทันที
• Connection Oriented ให้บริการในลักษณะของการพยายามไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น
7. Physical Layer จะให้บริการเกี่ยวกับวิธีการส่งข้อมูลเป็นบิต ระหว่างอุปกรณ์ 2 ชนิด ได้แก่ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางฝ่ายผู้ใช้ และอุปกรณ์ของเครือข่ายโดยข้อมูลต่าง ๆ จะถูกส่งให้กับ Data Link Layer นอกจากนั้นยังรับผิดชอบดูแลในรายละเอียดการส่งข้อมูลในด้านฮาร์ดแวร์จริง เช่น การควบคุม Network Interface Card การส่งสัญญาณผ่านสายสัญญาณแบบต่าง ๆ การเชื่อมต่อเข้าเครือข่ายแบบ ต่าง ๆ โดย Physical Layer จะจัดสร้างสัญญาณทางไฟฟ้า สัญญาณเสียง หรือสัญญาณแสงที่จําเป็นใน การสื่อสารโดยตรง
แนวโน้มระบบเครือข่ายในปัจจุบัน
ในปัจจุบันเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายกําลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยส่วนประกอบสําหรับระบบ เครือข่ายไร้สาย จะประกอบไปด้วย 4 ส่วนสําคัญ คือ Access Point, Network Adapter, การ์ดแลน และเครื่องคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันมีมาตรฐานสําหรับระบบเครือข่ายไร้สายหลายมาตรฐาน โดยได้พัฒนา ตามลําดับ เช่น IEEE 802.11b, IEEE 802.11a, IEEE 802.11g และ IEEE 802.11% ในปัจจุบัน โดย มาตรฐานต่าง ๆ จะครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยี อัตราการส่งข้อมูล คลื่นความถี่ และความปลอดภัย
เทคโนโลยีไร้สายถือว่ายังเป็นเทคโนโลยีใหม่ในประเทศไทย แต่มีแนวโน้มที่ดีและน่าจะเป็นที่นิยมใช้ ต่อไป โดยอาจจะมาแทนที่ระบบเครือข่ายแบบเดิมได้ภายในเวลาไม่นานนี้ แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ก็มีพื้นฐาน มาจากระบบเครือข่ายแบบเดิม นักศึกษาจึงควรศึกษาทั้งระบบเครือข่ายแบบเดิมและเทคโนโลยีใหม่อย่าง สม่ําเสมอ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ต่อไปในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

My Profile

My Profile นาย เดชานนท์ ยาสมุทร แผนก เทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคนิคพะเยา